เราคงไม่ได้จะมาเขียนเล่าสารคดีเรื่องนี้ให้ได้อ่านกัน เพราะมันดูเสียอรรถรสสำหรับคนที่คิดว่าจะไปเปิดดู เหมือนการที่เพื่อนสปอยล์หนังให้เราฟัง ซึ่งเราก็คงอยากถีบหน้าเพื่อนมากทีเดียว เอาเป็นว่าเราอยากสรุปเป็นหัวข้อ “แรงบันดาลใจ” จากลุงในการใช้ชีวิตดีกว่า และอยากให้ไปหาดูเอาเอง
ข้อที่ 1 “จงเลือกทำงานที่เรามีความสุข”
ฟังดูกระแดะดีทีเดียว เรานั่งคุยกับคุณภรรยาว่า ดูสิ.. อายุ 86 (ในสารคดีแกอายุสัก 81-82 ได้) แต่กลับ Snap ภาพได้อย่างรวดเร็ว จนเราอายเลย บางช็อตนี่คิดว่ากูคงเส้นพลิกแน่ แต่ลุงแกก็ถ่ายอย่างคล่องแคล่ว และถ้าเห็นแววตา แกเหมือนเด็กน้อยที่ตื่นเต้นกับ subject อยู่ตลอดเวลา ดูมีความสุขมากซะจนน่าอิจฉา สรุปได้ว่าด้วยจิตใจที่ดี ร่างกายก็ดีตาม ความสุขในงานที่ทำ สำหรับเราเลยคิดว่าไม่ใช่แค่เราชอบมันเท่านั้น แต่หมายความถึง งานนั้นมันทำให้เรามีสุขภาพจิตที่ดีด้วย
พอวิเคราะห์ชีวิตความเป็นอยู่ดั่งรูหนู อาหารการกินที่เอาถูก เอาง่าย แกก็น่าจะเป็นสายตรงข้ามกับ Steve Jobs ที่กินมังฯมาเกือบทั้งชีวิต ดูแลการกินเป็นอย่างดี และชีวิตความเป็นอยู่อันแสนสบาย แต่..ดูอายุและสุขภาพสิของสองคนนี้สิ..
อะไรคือความแตกต่าง? โอเค Steve Jobs ก็คงทำสิ่งที่รักเช่นกัน แต่เชื่อว่าภาวะความตึงเครียดของงานนั้น ต่างกันราวฟ้ากับเหว (หาอ่านได้ในหนังสือที่ Walter Isaacson เขียนนั่นล่ะ) นั่นก็คงเป็นความแตกต่างที่เห็นได้ชัด (ลุง Bill นี่แกก็มีความ Perfectionist ในงาน ไม่น้อยไปกว่า Jobs เช่นกัน) เพราะฉะนั้น มนุษย์บ้านๆอย่างเราๆ เลยต้องหันมาสำรวจตัวเองว่า งานที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ทำให้สุขภาพจิตเราดีอยู่หรือเปล่า และมันบั่นทอนจิตใจเราอยู่บ่อยๆหรือเปล่า เมื่อจิตใจมันถูกบั่นทอน สุดท้ายมันก็คงทำร้ายร่างกายและชีวิตเราอย่างรวดเร็ว
ข้อที่ 2 “แบกภาระในชีวิตให้น้อยที่สุด”
เตียงนอนเล็กๆในห้องที่แกพักอยู่
ระหว่างที่เราดูสารคดีไป เรานึกถึงหนัง “Up in the air” ขึ้นมาทันใด สิ่งที่พระเอกแนะนำเรื่องการยกเอาภาระที่มากมายในชีวิตออกซะ เพราะมันก็เหมือนมีสัมภาระมากมายอยู่ในเป้ที่เราแบกอยู่ เมื่อเรามีน้อย เราก็ตัวเบา ไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องเหนื่อย เหมือนมีของแบกอยู่เต็มหลัง ซึ่งถ้าใครได้เห็นสตูดิโอที่ลุงแกอยู่ (ไม่มีแม้แต่ห้องน้ำในตัว) กล้องที่แกใช้ ยังคงเป็นกล้อง Nikon FM2 ตัวเดียวมาหลายสิบปี (แถมใช้แค่ฟิล์มถูกๆ) จักรยานที่แกขี่ (เป็นพาหนะเดียวที่แกมี) เสื้อผ้าที่แกมี (เนื่องจากห้องแกไม่มีตู้เสื้อผ้า และแกใช้เสื้อแบบเดิม สีเดิมตลอดจนเป็นเอกลักษณ์) ทำให้เราเห็นได้ว่า ชีวิตคนเรา มีสิ่งที่ “จำเป็น” กับชีวิตอยู่น้อยกว่าความ “ต้องการ” ส่วนตัวขนาดไหน และเมื่อมีน้อย ชีวิตกลับมีความสุขดีกว่ามีมากซะอีก
ข้อที่ 3 “Money is the cheapest thing. Liberty and Freedom is the most expensive”
โอว.. ประโยคนี้จี๊ดใจมาก พาลให้เรานึกถึงเหล่านักการเมือง นักธุรกิจบางคน ที่แม้จะมีเงินมหาศาล กลับหาอิสรภาพในชีวิตไม่ได้ มันอาจจะฟังดูเท่เกินไป แต่เผอิญว่าลุงแกแม่งเป็นงั้นได้จริงด้วย เงินซื้อความอิสระของแกไม่ได้ การที่ทุกๆวัน ลุงแกขี่จักรยานไปทั่วเกาะแมนฮัตตัน ยืนมองหา Subject โดนๆ ได้ถ่ายในสิ่งที่แกรัก มันให้ความรู้สึกว่าเรากำลังดูนกที่บินบนฟ้าโล่งๆกว้างๆ น่าอิจฉาเป็นที่สุด
บทสรุปสุดท้าย แกก็ยังทำงานที่แกรักต่อไป ขี่จักรยานบ้านๆ (ที่แกบอกว่าโดนขโมยมาแล้ว 28 คัน) กินแซนวิชและกาแฟถูกๆ สะพายกล้องฟิล์มเก่าๆ (สองสามปีหลังแกใช้กล้องดิจิตอลด้วย แต่ก็เป็นรุ่นเก่ามาก Nikon D40X คือเราก็ใช้รุ่นนี้ ซื้อเมื่อ 7-8 ปีก่อนเพราะมันถูกและดี!) ใส่เสื้อเดิมๆ ไปถ่ายรูปแฟชั่นที่แกรัก และยังทำคลิปแนะนำแฟชั่นในเวบของ The New York Times ที่ชื่อคอลัมน์ On the street
Bill Cunningham New York หนังสารคดีที่อยากให้ดูกันนะ
หลังจากที่เราดูจบ ปิดไฟนอน มันเหมือนมีความรู้สึกดีๆตกตะกอนในความคิด ไม่ใช่แค่ในมุมการถ่ายรูป แต่มันคือการที่ทุกวันเราลืมตาขึ้นมาใช้ชีวิต ต้องมาทบทวนว่า ที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตแบบไหน เราได้ทำในสิ่งที่เรารัก เราได้ดูแลชีวิตเราดีแค่ไหน หรือมัวแต่ใช้ชีวิตหมดไปกับ “the cheapest thing” อย่างที่ลุงแกว่า
** เกร็ดเพิ่มเติมนิดหน่อย **
Bleu de Travail French Work Jacket เป็นแจ็คเก็ตคลาสสิคที่แกใช้มานับสิบปี ด้วยเหตุผลเรื่องความคงทน (คือแกว่า ด้วยความที่ต้องสะพายกล้องตลอดเวลา ทำให้มันสีกับเสื้อผ้าปกติแล้วขาดง่าย)
บทความ โดย SUN