Street Photo Thailand HOME PHOTOGRAPHERS LEGENDS NEWS ARTICLES FEATURED PROJECTS SUBMISSION SPTEP ABOUT CONTACT
Jason Eskenazi
Posted by Akkara Naktamna - Dec 30, 2016 01:43


Eskenazi เกิดใน Queens, New York ในปี 1960 เรื่องการถ่ายภาพของเขาต้องย้อนไปตอนอายุ 8 ขวบ ในพิธี Bar Mitzvah (พิธีทางศาสนาการของเด็กชายชาวยิว เพื่อแสดงว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่) เขาจะคอยตามช่างภาพในงานทำราวกับเป็นผู้ช่วยช่างภาพ แต่ก็ไม่ได้ถ่ายภาพอะไร Eskenazi เพียงแค่ชอบดูช่างภาพทำงานเท่านั้น และตอนอายุ 8 ขวบนี้เองที่เขาได้ 35mm Cavalier เป็นกล้องตัวแรกในชีวิต
 
เขาเป็นคนขี้อายมากคนหนึ่ง Eskenazi เคยให้สัมภาษณ์ว่า การพูดเป็นเรื่องน่าเบื่อมากสำหรับเขา Eskenazi พบว่าตัวเองต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะเข้าใจการพูดที่ยาวมากๆได้ แถมยังพูดติดตลกว่า การได้แต่งงานกับสาวใบ้ เป็นเหมือนความใฝ่ฝันอย่างหนึ่งของเขา Eskenazi จึงใช้การถ่ายภาพเป็นทางออกของปัญหานี้ 
 
เขาเคยถ่ายภาพเพื่อนนักเรียนที่ Queens เพื่อทำเป็นหนังสือรุ่นตอนมัธยม รวมถึงเป็น Photo Editor ของหนังสือรุ่นตอนเรียนวิทยาลัย และเป็นช่างภาพอิสระให้กับหนังสือพิมพ์ Queens Tribune ซึ่งจริงๆงานที่ทำก็ไม่ใช่งานของช่างภาพซะทีเดียว เพราะงานคือต้องคอยช่วยเหลือช่างภาพคนอื่น หอบหิ้วอุปกรณ์ และงานจิปาถะให้กับช่างภาพหลัก แน่ล่ะ มันไม่ใช่งานอย่างที่เขาอยากทำ แต่เขาก็ยังทนทำมันต่อไปเพราะคิดว่า มันเพียงพอสำหรับเขาแล้ว จริงๆปัญหาอย่างหนึ่งของ Eskenazi ในตอนนั้นคือ เขาไม่ยอมลุกขึ้นมาทำอะไรจริงๆจังๆ Eskenazi ทำเพียงแค่บอกกับตัวเองว่า วันหนึ่งเขาต้องออกไปจาก Queens ให้ได้ เขาเก็บเงินเตรียมการเอาไว้เพื่อซักวันหนึ่งที่พร้อมจะออกบิน แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไร Eskenazi ไม่ยอมรวบรวมความกล้าที่จะแพ็คกระเป๋าแล้วออกไปจาก Queens ซักที จนอายุ 30 เมื่อปี 1990 Eskenazi ก็ยังติดแหง่กอยู่ที่ Queens เช่นเดิม เหมือนรอให้อะไรบางอย่างเกิดขึ้น และมันก็เกิดขึ้นจริงๆซะด้วย
 
มันคือ การล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน
 
"เฮ้ย ผมไม่สามารถนั่งเฉยๆได้แล้วอะ ผมต้องไปแล้ว ไปถ่ายภาพเหตุการณ์สำคัญของโลกเหตุการณ์นี้ ให้คนได้เห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้น และผมอยากจะเห็นกำแพงเบอลินว่ามันเป็นยังไง ผมอยากเห็นมันด้วยสายตาของผมเอง" เขาซื้อตั๋วไปเบอลิน ซื้อเสื้อช่างภาพที่มีกระเป๋าเยอะๆให้เหมือนกับที่ Robert Capa ใส่ ซื้อเหมาฟิล์ม Tri-X เขาแพ็คกล้องตัวเก่ง Nikon F3 และ Leica M6 ไปด้วยแล้วออกเดินทางทันทีโดยที่ไม่มีการวางแผนใดๆทั้งสิ้น "แผนของผมคือ แค่ไปเดินที่กำแพง ไปอยู่ที่นั่น ไปที่ๆประวัติศาสตร์กำลังเกิดขึ้น"


 
หลังจากไปเบอลิน Eskenazi เขาติดตามช่างภาพสารคดีคนอื่นๆไปยังโรมาเนีย ที่ๆเขาได้พบกับหนึ่งในพี่น้อง Turnley (Peter และ David Turnley ช่างภาพสารคดีชื่อดังชาวอเมริกันที่เป็นฝาแฝด) กำลังยืนรัวชัตเตอร์อยู่หลังรถบรรทุก "แสงแดดที่ลอดผ่านเส้นผมของเขา มันเหมือนกับผมกำลังเห็นภาพของเทพเจ้าเลย" Eskenazi ไม่รู้จักช่างภาพคนนี้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีฝาแฝด ที่เขารู้คือมีสิ่งที่เจ๋งมากๆอยู่ที่นั่นและเขากำลังเป็นส่วนหนึ่งของมัน ได้รัวชัตเตอร์อยู่บนหลังรถบรรทุกคันเดียวกับเทพเจ้าที่เขาว่าไว้เป็นอะไรที่สุดยอดมากๆ จากนั้น Eskenazi ก็ติดตามถ่ายภาพวิกฤตการณ์ทางการเมืองของทางยุโรปตะวันออกพร้อมกับเพื่อนๆช่างภาพสารคดี เขาเริ่มมี connection เริ่มขายภาพ เริ่มรับ assignment หลังจากนั้นไม่กี่ปี Eskenazi ก็เริ่มรู้แล้วว่า ช่างภาพสารคดีไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากจะเป็น!


 
"ผมเริ่มที่จะคิดได้แล้วล่ะว่า ผมไม่ค่อยชอบการรายงานเพียงข้อเท็จจริงที่ออกมาจากเหตุการณ์นั้นๆ แทนที่ผมจะถ่ายรูปใครคนหนึ่งที่กำลังเจ็บปวด ผมจะถอยออกมาก้าวนึง และถ่ายรูปใครอีกคนที่กำลังเห็นคนได้รับความเจ็บปวด และบางทีผมก็จะถอยมาอีกก้าวเพื่อถ่ายภาพของตัวเองไว้ในเฟรมด้วย - แม้ไม่ตรงตามตัวอักษร แต่เต็มไปด้วยอารณ์ความรู้สึก" การตระหนักรู้ในครั้งนั้นเกิดขึ้นในช่วงที่อาชีพช่างภาพสารคดีของเขากำลังเติบโตอย่างเต็มที่ ซึ่งในขณะที่เขากำลังก้าวออกมาจากงานด้านสารคดี ในตรงกันข้ามมันคือทิศทางของการถ่ายภาพที่มีลักษณะเป็นงาน Fine Art มากขึ้นนั้นคือ Street Photography
 
ช่วงเวลาที่ Eskenazi ค้นพบสิ่งที่ตัวเองต้องการนั้น เค้าอยู่ในช่วงเวลาของการล่มสลายของสหภาพโซเวียต และเขาเริ่มหลงใหลภาพของผู้คนชาวรัสเซียในขณะนั้น Eskenazi ถ่ายภาพไว้จำนวนมากแบบไม่ได้มีแผนการณ์ในหัว เขาแค่ทำความรู้สึกให้เหมือน "ไปเดินที่กำแพง" อีกครั้ง คือถ่ายภาพอะไรก็ได้ที่กระตุ้นความสนใจของเขา และภาพถ่ายในรัสเซียเหล่านั้น คือจุดเริ่มต้นของหนังสือภาพเล่มแรกของเขาที่ชื่อ Wonderland

  
 
Wonderland ไม่ใช่แค่เพียงบรรยายภาพช่วงเวลาการล่มสลายของการเมือง สังคม ระบบเศรษฐกิจ หรือการเปลี่ยนผ่านของประชาชนจากสหภาพโซเวียตไปเป็นประชาชนชาวรัสเซียเท่านั้น สำหรับ Eskenazi มันเป็นเหมือนบรรยากาศที่พิเศษมีมนต์ขลังและโศกนาฎกรรมในเวลาเดียวกัน ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เกิดขึ้นรอบๆตัวเขาในขณะนั้น เขาค้นพบอะไรที่คล้ายคลึงกันบางอย่างระหว่างเทพนิยายปรัมปรากับภาพการฝ่าฟันปัญหาใหม่ๆของเหล่าประชาชนที่เพิ่งก้าวพ้นออกมาจากม่านเหล็ก
 
"ในช่วงนั้นมีส่วนคล้ายกับเทพนิยายกลายๆ"..."เทพนิยายส่วนใหญ่จะเป็นอะไรที่เกี่ยวกับการสุกงอมของสถานการณ์บางอย่าง และการค่อยๆเจริญเติบโตขึ้น เหมือนกับผู้คนชาวรัสเซียในตอนนั้น พวกเขาไม่รู้จักโลกภายนอกมาก่อน แต่กำลังจะออกไปเผชิญโลกทั้งใบ พวกเขาต้องเจอกับความแปลกใหม่ ความลึกลับซับซ้อนของโลกภายนอก ต้องเจอกับสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน" 

  

WONDERLAND : A Fairy Tale of the Soviet Monolith from kam studio on Vimeo.

 
Eskenazi ไม่ได้แค่ตั้งชื่อ photobook เล่มแรกของเขาให้เป็นแนวเทพนิยายเท่านั้น (Wonderland) แต่เนื้อหาข้างในนั้นก็มีอารมณ์ไปในทางเดียวกันด้วย ปกติเวลาใส่ภาพลงไปในหนังสือ ส่วนใหญ่จะต้องมีระบุรายละเอียดเล็กๆลงไป เช่น วันเวลา สถานที่ แต่สำหรับ Wonderland เขาไม่สนใจที่จะใส่สิ่งเหล่านี้ Eskenazi เน้นให้ภาพเป็นตัวดำเนินเรื่อง ไร้กาลเวลาและข้อมูลข้อเท็จจริง เขาเน้นเรื่องการคัดเลือกและจัดเรียงภาพ (Photo Editing) การเรียงภาพจะไม่ได้เรียงตามลำดับเวลา หรือข้อมูลใดๆ แต่จะเป็นการที่ภาพๆหนึ่ง นำไปสู่อีกภาพหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่ว่าภาพถัดไปจะเป็นต่อเนื่องกันซะทีเดียว Eskenazi ตั้งใจใส่ภาพหรือสองภาพที่ไม่เกี่ยวข้องคั่นเอาไว้ เขาบอกว่า "คนดูภาพต้องมีช่องว่างเพื่อให้ขบคิดและจินตนาการถึงบางสิ่งบางอย่าง...ที่เขาจะเห็นถึงความเชื่อมโยงจางๆในช่องว่างนั้น"
 
Wonderland ได้รับการพูดถึงในแง่ดี แต่ก็เหมือน photobook เล่มอื่นๆที่มันไม่ได้ทำเงินให้กับช่างภาพเป็นกอบเป็นกำ อย่างไรก็ดี การได้รับคำวิจารณ์ที่ดีทำให้เขาเป็นที่รู้จักและเริ่มมีชื่อเสียงอย่างมาก Eskenazi เริ่มได้รับรางวัลและเงินทุนจากหลายๆที่ ยกตัวอย่างเช่น Alicia Patterson Foundation Grant, Guggenheim Fellowship, Dorothea Lange/Paul Taylor Prize, Fulbright Scholarship และเขายังได้รับทุนให้จัดการโปรเจคในการสอนถ่ายภาพให้กับเด็กชาวยิวและอาหรับที่กรุงเยรูซาเล็มอีกด้วย

 
ปี 2008 เป็นเหมือนจุดวิกฤติทางใจในชิวิตของ Eskenazi เขาเล่าว่า "ด้วยเหตุผลทางด้านจิตใจบางอย่างของผม ผมถ่ายอะไรไม่ได้อีก และผมก็ไม่แคร์มันด้วย" "การถ่ายภาพเป็นอะไรที่บริสุทธิ์มากๆสำหรับผม ผมไม่สามารถโกงมันได้อีกต่อไป" 
 
Eskenazi เดินทางกลับ New York เลิกถ่ายภาพและหันไปเป็นยามแทน!
 
เขาเลือกเป็นยามที่ Metropolitan Museum of Art อย่างมีนัยยะบางประการ เขาไปเป็นยามเฝ้ารูปปั้นกรีกโบราณก่อนในช่วงแรก หลังจากนั้นก็ขอย้ายตัวเองไปเฝ้าที่ห้องนิทรรศการภาพถ่าย "ห้องนั้นปูพรม มันทำให้ยืนง่ายขึ้นเยอะ" Eskenazi ว่าอย่างนั้น แต่ความตั้งใจจริงๆของเขาที่ขอย้ายเนื่องจากช่วงเวลานั้นมีนิทรรศการภาพถ่ายของ Robert Frank "The Americans" มาแสดงต่างหาก "ช่างภาพทุกคนมีหนังสือเล่มนี้"..."ผมไม่เคยศึกษามันอย่างถ่องแท้เลย และมีที่นี่เท่านั้นที่ภาพทุกภาพจะมาจัดเรียงเหมือนออกมาจากในหนังสือ และผมจะได้เห็นมันทุกๆวัน" 
 
ผ่านไป 20 เดือนกับการเป็นยาม และได้เห็นภาพถ่ายของ Robert Frank ทุกๆวัน เขาพร้อมแล้วกับการกลับไปจับกล้องอีกครั้ง Eskenazi มุ่งหน้าไปยังตุรกีแผ่นดินเกิดของปู่ย่าของเขา เหมือนเช่นเคยเขาไปพร้อมกับคำว่า "ไปเดินที่กำแพง" เหมือนครั้งที่ไปกำแพงเบอลิน และผลลัพท์คือหนังสืออีกเล่มที่ชื่อ The Black Garden ในความคิดของเขา ท้ายที่สุดเขาจะมีหนังสือ 3 เล่ม โดยทีทั้งสามเล่มจะเป็นการสำรวจความแตกต่างในแต่ละวัฒนธรรมและช่วงเวลา 


 
คนสัมภาษณ์เคยถาม Eskenazi ว่า "ดูคุณจะพอใจกับสิ่งที่คุณได้เลือกทำนะ" เขาตอบเลยว่า "ไม่ ผมแค่ไม่มีทางเลือกที่จะทำต่างหาก ไม่เคยได้เลือกทางที่ง่ายเลย มันมีแค่ทางเดียวให้ไปก็เท่านั้น ผมเหมือนเดินอยู่ในน้ำอย่างยากลำบาก ไม่ได้ว่ายน้ำไป ผมไม่ได้มีความสุขกับสิ่งที่ทำนักหรอก แต่ก็ไม่เสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป"..."บทเรียนที่ผมได้เรียนรู้เป็นเรื่องแรกๆคือ ผมไม่ได้กำลังช่วยโลก แต่กำลังช่วยเหลือตัวเองผ่านการถ่ายภาพต่างหาก...มันไม่มีทางออกที่ง่ายดาย คุณต้องก้าวผ่านสิ่งเหล่านี้ไปให้ได้ เพื่อสร้างงานที่ซื่อสัตย์และมีความหมายต่อตัวเอง..."
 
"คุณต้องไปเดินที่กำแพง"  Eskenazi ทิ้งท้ายเอาไว้

By Akkara Naktamna

© 2012 - 2024 Street Photo Thailand